นักเตะที่ได้รับรางวัล นักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปี ของพรีเมียร์ลีก ซึ่งแต่ละคน มีส่วนสำคัญที่ทำให้ทีมเล่นได้อย่างโดดเด่น แม้ว่าบางทีมจะไม่ได้เป็นแชมป์ แต่ภาพรวมทั้งหมดของการเล่น ถือว่า สมควรแก่รางวัลอันทรงเกียรติชนิดที่ว่าไม่มีใครกล้าปฏิเสธเลยแล้วกัน มาดูกันครับว่ามีใครบ้าง
เอเด็น อาซาร์ (เชลซี)
ฤดูกาล 2014-15
โดดเด่นเหนือคำบรรยายสำหรับเอเด็น อาซาร์ในฤดูกาลนี้ และสามารถพาทีมกลับมาผงาดเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกได้อีกสมัย ภายใต้การทำทีมของโชเซ่ มูรินโญ่ เป็นคำรบที่สอง อาซาร์ จัดการยิงในพรีเมียร์ลีกไปทั้งสิ้น 14 ประตู 9 แอสซิสต์ ผลงานนี้ มีส่วนสำคัญกับการเป็นแชมป์ของทีม และกลายเป็นจอมทัพระดับแนวหน้าของพรีเมียร์ลีก จัดการปั้นให้ดีเอโก้ คอสต้า กลายเป็นยอดดาวยิงโดยซัดในลีกได้ถึง 20 ประตูเลยทีเดียว และเป็นหนึ่งในฤดูกาลที่เขาเล่นดีที่สุดในพรีเมียร์ลีกเลยทีเดียว
เจมี่ วาร์ดี้ (เลสเตอร์ ซิตี้)
ฤดูกาล 2015-16
เป็นฤดูกาลแห่งประวัติศาสตร์ ที่เลสเตอร์ ซิตี้ พลิกล็อคมโหฬาร ผงาดขึ้นครองแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ พร้อมกับการแจ้งเกิดกับนักเตะมากมายในทีมชุดนี้ของสุนัขจิ้งจอก และที่ได้รับการกล่าวขวัญมากที่สุดก็คือ เจมี่ วาร์ดี้ ศูนย์หน้าประจำทีม ที่จัดการยิงไป 24 ประตู กับ 6 แอสซิสต์ เป็นปัจจัยหลัก ที่ทำให้ เลสเตอร์ ซิตี้ ครองถ้วยความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แม้ว่าก่อนเริ่มฤดูกาลจะเป็นเพียงแค่ทีมเต็งสำหรับการตกชั้นก็ตาม ฟอร์มของวาร์ดี้ ยิงยังไงก็เข้า เต็มเปี่ยมไปด้วยความเร็วและความมุ่งมั่น จนถูกเรียกตัวกลายเป็นดาวยิงทีมชาติอังกฤษไปในที่สุด
เอ็นโกโล่ ก็องเต้ (เชลซี)
ฤดูกาล : 2016-17
ย้ายจากทีมชุดแชมป์ของเลสเตอร์ ซิตี้ มาอยู่กับเชลซีในปีต่อมาทันที และกลายเป็นห้องเครื่องคนสำคัญ ที่พาเชลซี กลับมาสู่การเป็นแชมป์สูงสุดได้อีกครั้ง และทำให้เขาได้รับการเชิดชูให้เป็นมิดฟิลด์ตัวรับที่ดีที่สุดในโลกไปในทันที แถมยังสามารถคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ 2 สมัยติดต่อกัน แต่ต่างสโมสรกัน การเป็นนักเตะที่ปิดทองหลังพระ เป็นตัวเชื่อมเกม และคอยสกัดกั้นให้เกมแดนกลางของเชลซี เหนียวแน่นขึ้น และทำให้เขากลายเป็นนักเตะระดับชั้นนำของโลกชนิดที่ทุกคนไม่กล้าปฏิเสธกันเลยทีเดียว
โมฮัมเหม็ด ซาล่าห์ (ลิเวอร์พูล)
ฤดูกาล : 2017-18
เป็นฤดูกาลแรกที่โมฮัมเหม็ด ซาล่าห์ ย้ายมาอยู่กับลิเวอร์พูล และสร้างมิติใหม่แห่งการยิงประตู เพราะเบ็ดเสร็จยิงไป 32 ประตู ในพรีเมียร์ลีก คว้าดาวซัลโวมาครองได้ และเป็นการจุดประกายให้ลิเวอร์พูลกลายเป็นทีมที่น่าจับตามอง เมื่อประสานงานร่วมกับ ซาดิโอ มาเน่ และ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ จนกลายเป็นชุดแนวรุกที่ดีที่สุดในยุโรปไปในทันที ความร้อนแรงของลิเวอร์พูลและซาล่าห์ มีส่วนช่วยให้ลิเวอร์พูลผงาดถึงรอบชิงชนะเลิศยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก แต่น่าเสียดายที่พ่ายต่อเรอัล มาดริด ไป 3-1
เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ (ลิเวอร์พูล)
ฤดูกาล : 2018-19
ฟอร์มการเล่นของเฟอร์จิล ฟาน ไดค์ โดดเด่นจนสามารถทำให้แนวรับของหงส์แดง จากที่เปื่อยยุ่ยกลายเป็นแข็งแกร่งดุจหินผา กลายเป็นทีมที่เสียประตูน้อยที่สุดในพรีเมียร์ลีกได้อย่างไม่น่าเชื่อ และที่สำคัญ ยังมีส่วนที่ทำให้ลิเวอร์พูลครองแชมป์ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก ได้สำเร็จอีกด้วย ด้วยฟอร์มการเล่นที่โดดเด่น ทำให้เขากลายเป็นเซ็นเตอร์แบ็คที่ดีที่สุดในโลกไปโดยปริยาย พร้อมกับคว้ารางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ในรางวัลบัลลงดอร์ มาครองได้อีกต่างหาก
ติดตามข่าวกีฬา อื่นๆ